ใบความรู้ที่ 21
อ.ไชยฉัตร โรจน์พลทามล
จางเชียน (张骞) - ผู้บุกเบิกเส้นทางสายไหม
ย้อนหลังไปถึงสมัยราชวงศ์ฮั่นของจีนซึ่งห่างจากปัจจุบันกว่า 2000 ปี จางเชียนในฐานะทูตจีนเคยเดินทางไปเขตซียู่ว์สองครั้ง ผลการเดินทางสองครั้งดังกล่าวได้นำมาซึ่งการเปิด "เส้นทางสายไหม" ที่เชื่อมจีนกับประเทศอื่นๆ ในโลกตะวันตก ซึ่งมีผลกระทบที่ลึกซึ่งและยาวไกลต่อประวัติศาสตร์ของประเทศจีนและประวัติศาสตร์ของโลก
![](https://scontent.fbkk2-8.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/13882361_1185460601504866_6685499321078558102_n.jpg?_nc_cat=105&_nc_ht=scontent.fbkk2-8.fna&oh=c90a9d2a0ff8a7674b8563b3af8952d3&oe=5D1394C2)
อนุสาวรีย์ จางเชียน
จางเชียนเกิดในมณฑลส่านซี เป็นคนซื่อสัตย์และไว้ใจได้ และเป็นคนที่มีจิตใจชอบการผจญภัย งานการทูตครั้งนี้นับว่าเป็นงานที่มีความยากลำบาก เพราะว่าต้องผ่านเขตของเผ่าชนซงหนูที่เป็นอริกับจีนและดินแดนทุรกันดารต่างๆ ที่มีลักษณะภูมิประเทศอันเลวร้าย ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อ 139 ปีก่อนคริสต์ศักราช จางเชียนได้นำคณะทูตราชวงศ์ฮั่นที่ประกอบด้วยร้อยกว่าคนออกเดินทางไปยังเขตซียู่ว์ที่อยู่ตะวันตก แต่เขากับคณะออกเดินทางได้ไม่นานขณะที่ผ่านพื้นที่ของเผ่าชนซงหนูนั้นก็ถูกซงหนูจับได้ หัวหน้าเผ่าซงหนู่พอทราบวัตถุประสงค์ของการเดินทางไปยังเขตตะวันตกในครั้งนี้แล้ว จึงสั่งให้กักตัวจางเชียนพร้อมกับคณะและส่งตัวไปใช้แรงงานเป็นกุลี นอกจากนี้ยังจัดการหาภรรยาให้จางเชียนเพื่อที่จะให้จางเชียนเลิกล้มความตั้งใจเสีย แต่ว่าจางเชียนไม่เคยลืมภาระหน้าที่ของตนและไม่เคยละทิ้งความพยายาม หลังจากที่ถูกซงหนูกักตัวเป็นเวลานานถึง 11 ปี จนฝ่ายซงหนูคลายความระวังเข้มงวด จางเชียนเห็นได้จังหวะ ก็นำสมาชิกในคณะหลบหนี พวกเขาเดินทางผ่านเขตของสาธารณรัฐอุซเบกิสถานในปัจจุบันไปจนถึงเขตของประเทศเผ่าชนต้าเย่ว์จือในที่สุด แต่ว่าต่าเย่ว์จือในขณะนั้นไม่มีความคิดที่จะไปตีซงหนูอีกแล้ว เมื่อเห็นสภาพเช่นนั้น จางเชียนก็จำต้องกลับประเทศ ระหว่างทางขากลับ เขากับคณะก็ถูกซงหนูจับกุมอีกและถูกกักตัวอยู่เป็นเวลาปีเศษ
![](https://scontent.fbkk22-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/13882165_1185464341504492_1337471496770045007_n.jpg?_nc_cat=109&_nc_ht=scontent.fbkk22-2.fna&oh=6b4dcd33c09bb28d51ff39c3a295248b&oe=5D498F95)
ในที่สุดเมื่อปี 126 ก่อนคริสต์ศักราช จางเชียนก็สามารถหลบหนีออกจากประเทศซงหนูกลับถึงจีน การเป็นทูตครั้งนี้ใช้เวลาไป 13 ปี สมาชิกในคณะทูตทั้งหมดกว่าร้อยคนเหลือแต่จางเชียนเพียงคนเดียว นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ยิ่ง เมื่อกลับถึงประเทศแล้ว จางเชียนได้ทูลเกล้ากษัตริย์ฮั่นหวู่ตี้เกี่ยวกับประสบการณ์และเรื่องราวต่างๆ ที่ได้พบเห็นตลอดช่วงเวลา 13 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ สภาพของประเทศต่างๆ ในเอเชียกลางทั้งด้านขนบธรรมเนียมประเพณี ด้านภูมิประเทศ การเมืองและเศรษฐกิจ เป็นต้น ทำให้ราชวงศ์ฮั่นเข้าใจเรื่องราวของประเทศอื่นๆ มากขึ้น ต่อจากนั้นไม่ถึงสิบปี จางเชียนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตไปเขตซียู่ว์อีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้ เขาได้นำสิ่งของมีค่า ผ้าแพร วัวและแพะแกะจำนวนมากไปด้วย แล้วจัดส่งรองหัวหน้าคณะทูตให้แยกย้านกันนำไปมอบให้กับประเทศต่างๆ สองปีต่อมา ประเทศต่างๆ ก็จัดส่งทูตกลับมาติดต่อกับราชวงศ์ฮั่นโดยมีทูตจีนเป็นผู้นำทาง จากนั้น ราชวงศ์ฮั่นกับประเทศต่างๆ ในเขตซียู่ว์ก็ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการขึ้นมา และนับวันมีการไปมาหาสู่กันใกล้ชิดยิ่งขึ้น
การที่จางเชียนเป็นทูตเดินทางไปเขตซียู่ว์ทำให้จีนได้มีโอกาสติดต่อกับเอเชียกลาง เอเชียตะวันตกกระทั่งเขตที่ห่างไกลออกไป ทำให้มีการเปิดเส้นทางการคมนาคมที่เชื่อมทวีปเอเชีย ยุโรปและแอฟริกาสามทวีปขึ้นมาสองสายขึ้นมา นั่นก็คือ เส้นทางสายไหมทางบก และเส้นทางสายไหมทางทะเล เส้นทางสองสายดังกล่าวได้อำนวยความสะดวกแก่การแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจระหว่างตะวันออกกับตะวันตก ได้แลกเปลี่ยนทางด้านวัฒนธรรมกับโลกซีกตะวันตกมากยิ่งขึ้น และมีส่วนช่วยให้พุทธศาสนาแพร่เข้าสู่จีนในเวลาต่อมา จางเชียนเป็นผู้บุกเบิกยุคแห่งการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมระหว่างจีนกับตะวันตก ผู้คนยังคงกล่าวขวัญและนับถือจิตใจอันสูงส่งของจางเชียนที่แม้จะผ่านความยากลำบากสุดประมาณแต่ก็ไม่ย่อท้อกลับมีแต่ความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ไม่หวั่นไหว!
No comments:
Post a Comment